วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

โครงการกษตรทฤษฎีใหม่


ความเป็นมา
ในทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศนั้นได้ทรงถามเกษตรกรและทอดพระเนตรพบสภาพปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการปลูกข้าวและเกิดแรงดลพระทัยอันเป็นแนวคิดขึ้นว่า
ข้าวเป็นพืชที่แข็งแกร่งมาก หากได้น้ำเพียงพอจะสามารถเพิ่มเมล็ดข้าวได้มากยิ่งขึ้น
หากเก็บน้ำในที่ตกลงมาได้แล้ว นำมาใช้ในการเพาะปลูกก็จะสามารภเก็บเกี่ยวได้มากขึ้นเช่นกัน
การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่นับวันแต่จะยากที่จะดำเนินการได้ เนื่องจากการขยายตัวของชุมชนและข้อจำกัดของปริมาณที่ดินเป็นอุปสรรค
หากแต่ละครัวเรือนมีสระนำประจำไร่นาทุกครัวเรือนแล้ว เมื่อรวมปริมาณกันก็ย่อมเท่ากับอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ๋ แต่สิ้นค่าใช้จ่ายน้อยและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยตรงมากกว่า

ที่มาแห่งพระราชดำริ “ทฤษฎีใหม่”




แรงดลพระราชหฤทัยในเรื่องนี้เกิดจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในภาคอีสาน บริเวณพื้นที่บ้านกุตตอแก่น ตำบลกุตสิมคุ้มใหญ่ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธิ์ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2535 ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระราชดำรัสแก่บรรดาคณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2535 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรดา พระราชวังดุสิตว่า

“...ถามชาวบ้านที่อยู่นั่นว่าเป็นอย่างไรบ้างปีนี้ เขาบอกว่าเก็บข้าวได้แล้วข้าวก็อยู่ตรงนั้นกองไว้เราก็ไปดูข้าว ข้าวนั้นมีรวงจริงแต่ไม่มีเมล็ดหรือรวงหนึ่งมีซักสองสามเมล็ด ก็หมายความว่า 1 ไร่ คงได้ข้าวประมาณซักถังเดียวหรือไม่ถึงถังต่อไร่ ่เขาทำไมเป็นอย่างนี้ เขาบอว่าเพราะไม่มีฝนเขาปลูกกล้าไว้แล้วเมื่อขึ้นมาก็ปักดำ ปักดำไม่ได้เพราะว่าไม่มีน้ำ ก็ปักในทรายทำรู ในทรายแล้วก็ปักลงไป เมื่อปักแล้วตอนกลางวันก็เฉามันงอลงไป แต่ตอนกลางคืนก็ตั้งตัวตรงขึ้นมาเพราะมีน้ำค้าง และในที่สุด ก็ได้รวงแต่ไม่มีข้าว ข้าวเท่าไร อันนี้เป็นบทเรียนที่ดี...แสดงให้เห็นว่าข้าวนี้เป็นพืชแข็งแกร่งมากขอให้ได้มีน้ำค้างก็พอ แม้จะเป็น ข้าวธรรมดา ไม่ใช่ข้าวไร่ ถ้าหากว่าเราช่วยเขาเล็กน้อยก็สามารถที่จะได้ข้าวมากขึ้นหน่อยพอที่จะกิน ฉะนั้นโครงการ ที่จะทำมิใช่ต้องทำโครงการใหญ่โตมากจะได้ผล ทำเล็กๆก็ได้ จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าในที่เช่นนั้นฝนตกดีพอสมควร แต่ลงมาไม่ถูกระยะเวลา...ฝนก็ทิ้งช่วง...” จากพระราชดำรัสข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการที่ทรงรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจากปัญหาข้อเท็จจริงแล้วทรงวิเคราะห์เป็นแนวคิดทฤษฏีว่า

“...วิธีการแก้ไขก็คือต้องเก็บน้ำฝนที่ตกลงมา ก็เกิดความคิดว่าอยากทดลองดูสัก 10 ไร่ ในที่อย่างนั้น 3 ไร่ จะเป็นบ่อน้ำ คือเก็บน้ำฝนแล้ว ถ้าจะต้องบุด้วยพลาสติกก็บุด้วยพลาสติกทดลองดูแล้ว อีก 6 ทำไร่ทำเป็นที่นา ส่วนไร่ที่เหลือก็็เป็นบริการหมายถึงทางเดินหรือกระต๊อบหรืออะไรก็ได้แล้วแต่หมายความว่า น้ำ 30 % ที่ทำนา 60 % ก็เชื่อว่าถ้าเก็บน้ำไว้ได้จากเดิมที่ เก็บเกี่ยวข้าวได้ไร่ละ ประมาณ 1-2 ถัง ถ้ามีน้ำเล็กน้อยอย่างนั้นก็ควรจะเก็บเกี่ยวข้าวได้ไร่ละประมาณ 10 -20 ถังหรือมากกว่า ” ในเวลาต่อมาได้พระราชทานพระราชดำรัสให้ทำการทดลอง “ทฤษฎีใหม่” เกี่ยวกับการจัดการที่ดินและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรขึ้น ณ วัดมงคลชัยพัฒนา ตำบลห้วยบง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี แนวทฤษฎีใหม่ กำหนดขึ้นดังนี้ ให้แบ่งพื้นที่ถือครองทางการเกษตร ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเกษตรกรไทยมีเนื้อที่ดินประมาณ 10-15 ไร่ ต่อครอบครัวแบ่งออกเป็นสัดส่วน คือ



ส่วนแรก : ร้อยละ 30 เนื้อที่เฉลี่ย 3ไร่ ให้ทำการขุดสระกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเพาะปลูก โดยมีความลึกประมาณ 4 เมตร ซึ่งจะสามารถรับน้ำได้จุถึง 19,000 ลูกบาศก์เมตร โดยการรองรับจากน้ำฝน ราษฎรจะสามารถน้น้ำนี้ไปใช้ได้ตลอดปี ทั้งยังสามารถเลี้ยงปลาและปลูกพืชริมสระเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวอีทางหนึ่งด้วยดังพระราชดำรัสในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่วัดชัยมงคลพัฒนาอังเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2536 ความตอนหนึ่งว่า“...การเลี้ยงปลาเป็นรายได้เสริม ถ้าเลี้ยงปลาไม่กี่เดือนก็มีรายได้...”



ส่วนที่สอง : ร้อยะ 60 เป็นเนื้อที่เฉลี่ยประมาณ 10ไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตรปลูกพืชผลต่างๆโดยบี่งพื้นที่นี้ออกเป็น 2 ส่วน คือ ร้อยละ 30 ในส่วนที่สอง ทำนาข้าวประมาณ 5 ไร่ ร้อยละ 30 ในส่วนที่สอง ปลูกพืชไร่หรือพืชสวนตามแต่สภาพของพื้รที่และภาวะตลาดประมาณ 5 ไร่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวนโดยใช้หลักเกณฑ์เฉลี่ยว่าในพื้นที่ทำการเกษตรนี้ต้องมีน้ำใช้ในช่วงฤดูแล้งประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ถ้าหากแบ่งแต่ละแปลงเกษตรให้มีเนื้อที่ 5 ไร่ ทั้ง 2 แห่งแล้ว ความต้องการน้ำจะใช้ประมาณ 10,000 ลูกบาศก์เมตร ที่จะต้องเป็นน้ำสำรองไว้ใช้ในยามฤดูแล้ง

ส่วนที่สาม : ร้อยละ 10 เป็นพื้นที่ที่เหลือมีเนื้อที่เฉลี่ยประมาณ 2 ไร่ จัดเป็นที่อยู่อาศัย ถนนหนทาง คันคูดินหรือคูคลอง ตลออดจนปลูกพืชสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ รวมพื้นที่โดยเฉลี่ยประมาณ 15 ไร่ ตามสัดส่วน 30 – 30 – 30 – 30 – 10 ตามทฤษฎีใหม่นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแนวพระราชดำริอันเป็นหลักปฏิบัติสำคัญยิ่งในการดำเนินการ คือ
วิธีนี้สามารถใช้ปฏิบัติได้กับเกษตรกรผู้เกป็นเจ้าของที่ดิน ที่มีพื้นที่ดินจำนวนน้อย แปลงเล็กๆ ประมาณ 15 ไร่(ซึ่งเป็นอัตราถือครองเนื้อที่การเกษตรโดยเฉลี่ยของเกษตรกรไทย)
มุ่งให้เกษตรกรมีความพอเพียงในการเลี้ยงตัวเองได้ (self sufficiency) ในระดับชีวิตที่ประหยัดก่อนโดยมุ่งเน้นให้เห็นความสำคัญของความสามัคคีกันในท้องถิ่น
กำหนดจุดมุ่งหมายให้สามารถผลิตข้าวบริโภคได้เพียงพอตลอดทั้งปี โดยยึดหลักว่าการทำนา 5 ไร่ ของครอบครัวหนึ่งนั้นจะมีข้าวพอกินตลอดปีซึ่งเป็นหลักสำคัญของทฤษฎีใหม่นี้



ทฤษฎีใหม่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นทฤษฎีที่สมบูรณ์ตามแนวพระราชดำริได้นั้น ทรงคำนึงถึงการระเหยของน้ำในสระหรืออ่างเก็บน้ำลึก 4 เมตร ของเกษตรการด้วยว่าในแต่ละวันที่ไม่มีฝนตกคาดว่าน้ำระเหยวันละ 1 เซนติเมตร ดังนั้นเมื่อเฉลี่ยว่าฝนไม่ตกปีละ300 วันนั้นระดับน้ำในสระลดลง 3 เมตร จึงควรมีการเติมน้ำให้เพียงพอเนื่องจากน้ำเหลือก้นสระเพียง 1 เมตรเท่านั้น ดังนั้น การมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อคอยเติมน้ำในสระเล็ก จึงเปรียบเสมือนมีแท้งค์น้ำใหญ่ๆ ที่มีน้ำสำรองที่จะคอยเติมน้ำอ่างเล็กให้เต็มอยู่เสมอ จะทำให้แนวทางปฏิบัติสมบูรณ์ขึ้นสระน้ำที่ราษฎรขุดขึ้นตามทฤษฎีใหม่นี้เมื่อเกิดช่วงขาดแคลนน้ำ ในฤดูแล้ง ราษฎรสามารถสูบน้ำมาใช้ประโยชน์ได้และหากน้ำในสระไม่เพียงพอก็ขอรับน้ำจากอ่างห้วยหินขาว ซึ่งได้ทำระบบส่งน้ำเชื่อมต่อลงมายังสระน้ำที่ได้ขุดไว้ในแต่ละแปลงซึ่งจะช่วยให้มีน้ำใช้ตลอดปี ในกรณีราษฎรใช้น้ำกันมากอ่างห้วยหินขาวก็อาจมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ หากโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักสมบูรณ์แล้วก็ใช้วิธีการสูบน้ำจากป่าสักมาพักในหนองน้ำใดหนองน้ำหนึ่ง แล้วสูบต่อลงมาในอ่างเก็บน้ำห้วยหินขาวก็จะช่วยให้มีปริมาณน้ำใช้มาพอตลอดปี ทรงเชื่อมั่นในทฤษฎีนี้มาก ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “...ให้ค่อยๆทำเพิ่มเติม ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น แล้วทีหลังในเขตนอกเหนือจาก 3,000 ไร่ เมื่อมาเห็นว่าทำได้ก็เชื่อแล้วนำไปทำบ้างแต่ต้องไม่ทำเร็วนัก บริเวณนี้ก็จะสนับสนุนได้ 3,000 ไร่ ช่วงเขาบอกได้ 700 ไร่ แต่ทฤษฎีของเราได้ 3,000 ไร่...”


โครงกรพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคงตามแนวชายแดน

ตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว





ความเป็นมา

1. สภาพทั่วไป พื้นที่ภาคเหนือตอนบน มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่า สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนต่อเนื่องกันไปตลอดแนวชายแดนมีราษฎรอาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วไป แนวชายแดนฝั่งตรงข้ามมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยูู่่ เช่น ว้า , ไทยใหญ่ , คะฉิ่น , และกระเหรี่ยง ตลอดห้วงระยะที่ผ่านมาได้มีการเคลื่อนไหวของกองกำลังติดอาวุธกลุ่มต่างๆ บริเวณแนวชายแดน ทำให้ราษฎรชาวไทยที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนได้รับผลกระทบจากกรสู้รบอยู่เสมอนอกจากนั้นในปัจจุบัน ได้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างรุนแรง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการผลิตจากภายนอกประเทศ แล้วลักลอบลำเลียงขนส่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ตามช่องทางต่างๆ ตามแนวชายแดน กระทำในลักษณะเป็นขบวนการ สำหรับ ราษฎรที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขา มีการอพยพถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลา ยึดอาชีพทำไร่เลื่อนลอยเป็นหลัก ทำให้ไม่มีอาชีพและรายได้ที่แน่นอน มีความยากจนเป็นส่วนใหญ่ประกอบกับเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงระหว่างหมู่บ้านมีความยากลำบาก เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถเดินทางเข้าไปให้ความช่วยเหลือและพัฒนาได้สะดวก ซึ่งสภาพการณ์ดังกล่าว ผลกระทบต่อความมั่นคงและการพัฒนาประเทศหลายประการ พอสรุปได้ดังนี้ ปัญหาความปลอดภัยตามแนวชายแดน ปัญหายาเสพติด ปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ ปัญหาความยากจนและด้อยโอกาส ในห้วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมของทุกปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จฯ แปรพระราชฐานประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างที่ประทับอยู่นี้ได้้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในท้องิ่นต่างๆ ให้แก่ราษฎร ซึ่งกองทัพภาคที่ 3 ได้ร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ดำเนินการสนองตอบให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ในรูปแบบโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง

2. ความเป็นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นปัญหาประการต่างๆ ภายในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองกำลังภาคที่ 3 มีความหลากหมายและซับซ้อน ไม่สามารถจะแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้โดยลำพังหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความปลอดภัยตามแนวชายแดน ปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหายาเสพติด จึงได้พระราชทานแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวแก่ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบกเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2543 มีใจความสรุปได้คือ

2.1 การสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนต้องกระทำในลักษณะผสมผสาน มีการเคลื่อนไหวควบคู่ไปกับการปฏิบัติการจิตวิทยา เพื่อสร้างความใกล้ชิด

2.2 จะต้องได้ข้อมูลพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมดรวมทั้งปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของราษฎร

2.3 การปฏิบัติงานจะต้องร่วมกันทุกฝ่าย

2.4 พื้นที่เพ่งเล็งในการปฏิบัติงานได้แก่ พื้นที่ช่องทางกิ่วผาวอก จังหวัดเชียงใหม่ ต่อเนื่องไปจนถึงอำเภอปางมะผ้าจังหงัดแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ลักษณะการดำเนินงานมิใช่โครงการใหญ่แต่เป็นงานเล็กๆ เช่น ฝานกั้นน้ำ และใช้ระบบการส่งน้ำด้วยท่อโดยกลุ่มหรือสมาคมแม่บ้านควรมีบทบาทเข้าไปช่วยเหลือ ตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จในห้วงที่ผ่านมาคือโครงการห้วงตึงเฒ่า และหากการดำเนินต่อราษฎรในพื้นที่สูงสามารถประสานกับหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ได้โดยตรง

3. วัตถุประสงค์ หลังรับพระราชทานแนวทางข้างต้นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 3 เป็นหน่วยดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่งกองทัพภาคที่ 3 ได้สรุปแนวทางพระราชทานดังกล่าว กำหนดเป็นวัตถุประสงค์ในการดำเนินการ 4 ประการ ได้แก่

3.1 เพื่อให้ความปลอดภัยแก่ราษฎรตามแนวชายแดน ปราศจากการคุกคามของผู้มีอิทธิพลในท้องที่และกองกำลังต่างชาติ

3.2 เพื่อให้เป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นการเสพ การค้า และการร่วมขบวนการ

3.3 เพื่อให้ราษฎรตมแนวชายแดนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

3.4 เพื่อให้ราษฎรตามแนวชายแดน มีความรักประเทศไทย มีความเป็นคนไทยมากขึ้นและให้ความร่วมมือกับส่วนราชการในทุกเรื่อง

4. การดำเนินงานการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน

ขั้นที่ 1 การเตรียมการและกำหนดหมู่บ้านเป้าหมาย

ขั้นที่ 2 การสำรวจข้อมูลหมู่บ้านและจัดทำแผน

ขั้นที่ 3 การดำเนินงานตามแผนงานการปฏิบัติของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองทัพภาคที่ 3 ได้แต่งตั้ง ผู้บังคับการตำรวจตระเวรชายแดนภาค 3 เป็นรองประธานกรรมการตมคำสั่งที่ 231/2543

เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนตามแนวทางพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อดำเนินงานโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดน เมื่อวันที่30 พฤษภาคม 2543 โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

1. กำหนดวัตถุประสงค์ แนวทางปฏิบัติ และเป้าหมายการดำเนินงานโครงการเพื่อให้เป็นตามแนวทางพระราชทานฯ

2. จัดทำแผนแม่บทโครงการ แผนงานประจำปี และดำเนินงานโครงการให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนด

3. แต่งตั้งคณะทำงาน บุคคล หรือ เจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานตามความจำเป็น

4. จัดตั้งกองอำนวยการโครงการ ควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์

5. ปฏิบัติงานและหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่งคงในระดับพื้นที่ในเขตกองทัพภาคที่ 3

ไม่มีความคิดเห็น: